วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปลาดาว



สัตว์ไร้กระดูกพิสดาร
ดาวทะเลเป็นปลาหรือไม่?
ดาวทะเลเคยมีชื่อเรียกว่า ปลาดาว แต่ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะว่าดาวทะเลมิใช่ปลา ดาวทะเลเป็นสัตว์รูปร่างคล้ายดาว ส่วนใหญ่ จะมีลำตัวแยกเป็น 5 แฉกแต่ละแฉกเรียกว่าแขน สีสันของดาวทะเลสวยงาม พิสดาร เช่น สีแดง สีน้ำเงิน หรือแม้แต่ชมพูสดใส หากตัดดาวทะเลออกเป็นชิ้น แต่ละชิ้นก็จะงอกใหม่เป็นดาวทะเลเต็มตัว

อวัยวะ


อวัยวะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

อวัยวะ (organ) เป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อที่อยู่รวมกันและทำหน้าที่เฉพาะร่วมกัน เนื้อเยื่อดังกล่าวแบ่งออกเป็นเนื้อเยื่อหลัก (main tissues) และเนื้อเยื่อที่กระจัดกระจาย (sporadic tissues) เนื้อเยื่อหลักคือเนื้อเยื่อที่พบเฉพาะในอวัยวะหนึ่งๆ เช่น เนื้อเยื่อหลักในหัวใจคือ กล้ามเนื้อหัวใจ ในขณะที่เนื้อเยื่อกระจัดกระจายคือเนื้อเยื่อประสาท, เลือด, เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เป็นต้น
เนื้อหา[ซ่อน]
1 อวัยวะของสัตว์
2 อวัยวะของพืช
3 ระบบอวัยวะ
3.1 รายชื่อระบบอวัยวะหลักๆ ในร่างกายมนุษย์
4 อวัยวะของมนุษย์ แบ่งตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
4.1 ศีรษะและคอ (Head and neck)
4.2 หลัง (Back)
4.3 อก (Thorax)
4.4 ท้อง (Abdomen)
4.5 เชิงกราน และฝีเย็บ (Pelvis and perineum)
4.6 รยางค์บนและรยางค์ล่าง (Upper limbs/Lower limbs)
5 ดูเพิ่ม
//
[แก้] อวัยวะของสัตว์
อวัยวะของสัตว์ทั่วๆ ไป รวมทั้งมนุษย์ ได้แก่ หัวใจ (heart) , ปอด (lung) , สมอง (brain) , ตา (eye) , กระเพาะอาหาร (stomach) , ม้าม (spleen) , กระดูก (bones) , ตับอ่อน (pancreas) , ไต (kidney) , ตับ (liver) , ลำไส้ (intestine) , ผิวหนัง (skin) (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในมนุษย์) , มดลูก (uterus) , และกระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) อวัยวะของสัตว์ที่อยู่ภายในร่างกายเรียกว่า อวัยวะภายใน (internal organ หรือ viscera)
[แก้] อวัยวะของพืช
อวัยวะของพืชแบ่งออกเป็นอวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับเพศ (vegetative organs) และอวัยวะสืบพันธุ์ (reproductive organ) อวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับเพศได้แก่ ราก (root) , ลำต้น (stem) และใบ (leaf) ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ ได้แก่ ดอก (flower) , เมล็ด (seed) , และ ผล (fruit)
อวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับเพศมีความสำคัญในการดำรงชีวิตของพืช โดยทำหน้าที่ที่สำคัญต่อชีวิต เช่น การสังเคราะห์ด้วยแสง ในขณะที่อวัยวะสืบพันธุ์เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ของพืช แต่ในการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ อวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับเพศก็สามารถที่จะงอกเป็นพืชต้นใหม่ได้
[แก้] ระบบอวัยวะ
ดูบทความหลักที่ ระบบอวัยวะ
กลุ่มของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกันเรียกว่า ระบบอวัยวะ (organ system) อวัยวะในระบบเดียวกันอาจมีความสัมพันธ์ร่วมกันได้หลายทาง แต่มักจะมีลักษณะหน้าที่การทำงานเกี่ยวข้องกัน เช่น ระบบขับถ่ายประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่างที่ทำหน้าที่ร่วมกันในการผลิต เก็บ และขับปัสสาวะออก
หน้าที่ของระบบอวัยวะมักจะมีหน้าที่ทับซ้อนกัน เช่น ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ทั้งในระบบประสาท (nervous system) และระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) ทำให้การศึกษาทั้งสองระบบมักจะทำร่วมกันเรียกว่า ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine system) เช่นเดียวกันกับ ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (musculoskeletal system) ซึ่งเป็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างระบบกล้ามเนื้อ (muscular system) และ ระบบโครงกระดูก (skeletal system)
[แก้] รายชื่อระบบอวัยวะหลักๆ ในร่างกายมนุษย์
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยระบบหลักๆ 11 ระบบ
ระบบทางเดินอาหาร - การดูดซึมสารอาหาร และขับถ่ายกากอาหารออก
ระบบโครงกระดูก - เป็นโครงร่างของร่างกายและการเคลื่อนไหว ผลิตเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์
ระบบกล้ามเนื้อ - เป็นโครงร่างของร่างกายและการเคลื่อนไหว สร้างความร้อน
ระบบประสาท - เป็นศูนย์รวมและประสาทการทำงานโดยสัญญาณทางไฟฟ้าเคมี
ระบบต่อมไร้ท่อ - เป็นศูนย์รวมและประสาทการทำงานโดยฮอร์โมน
ระบบไหลเวียนโลหิต - ขนส่งสารภายในร่างกาย
ระบบหายใจ - กำจัดคาร์บอนไดออกไซด์และดูดซึมแก๊สออกซิเจน
ระบบสืบพันธุ์ - ผลิตลูกหลานเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
ระบบปกคลุมร่างกาย - ปกคลุมร่างกายภายนอก
ระบบน้ำเหลือง - ควบคุมของเหลวในร่างกาย และทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ - ขับถ่ายของเสีย และควบคุมสมดุลเกลือแร่
[แก้] อวัยวะของมนุษย์ แบ่งตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
[แก้] ศีรษะและคอ (Head and neck)
สมอง (brain)
ใบหน้า (face)
หู (ears)
เบ้าตา (orbit)
ตา (eye)
ปาก (mouth)
ลิ้น (tongue)
ฟัน (teeth)
จมูก (nose)
หนังศีรษะ (scalp)
กล่องเสียง (larynx)
คอหอย (pharynx)
ต่อมน้ำลาย (salivary glands)
เยื่อหุ้มสมอง (meninges)
ต่อมไทรอยด์ (thyroid)
ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid gland

ดอกกุหลาบ


กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ผลิตกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกประมาณ 5,500 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี มีการขยายตัวของพื้นที่มากที่สุดใน อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งปัจจุบันประมาณว่ามีพื้นที่การผลิตถึง 3,000 ไร่ เนื่องจาก อ.พบพระ มีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ไม่สูงชัน และค่าจ้างแรงงานต่ำ (แรงงานต่างชาติ) การผลิตกุหลาบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ การผลิตกุหลาบในเชิงปริมาณ และการผลิตกุหลาบเชิงคุณภาพ การผลิตกุหลาบเชิงปริมาณ หมายถึงการปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือปลูกในพื้นที่ราบ ซึ่งจะให้ผลผลิตมีปริมาณมาก แต่ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เช่น ดอกและก้านมีขนาดเล็ก มีตำหนิจากโรคและแมลง หรือการขนส่ง อายุการปักแจกันสั้น ทำให้ราคาต่ำ การผลิตชนิดนี้ต้องอาศัยการผลิตในปริมาณมากเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ส่วนการผลิตกุหลาบในเชิงคุณภาพ นิยมปลูกในเขตภาคเหนือ และบนที่สูง โดยปลูกกุหลาบภายใต้โรงเรือนพลาสติก ในพื้นที่จำกัด มีการจัดการการผลิตและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่ดี ใช้แรงงานที่ชำนาญ ทำให้กุหลาบที่ได้มีคุณภาพดี และปักแจกันได้นาน ตลาดของกุหลาบคุณภาพปานกลางถึงต่ำ (ตลาดล่าง) ในปัจจุบันถึงขั้นอิ่มตัว เกษตรกรขายได้ราคาต่ำมาก ส่วนตลาดของกุหลาบที่มีคุณภาพสูง (ตลาดบน) ผลผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ และขาดความต่อเนื่อง ทำให้ยังต้องนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย เป็นต้น
ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตกุหลาบคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากแต่จะต้องผลิตในพื้นที่ที่เหมาะสม คือพื้นที่สูงมากกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หากปลูกในที่ราบจะได้คุณภาพดีในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ดังนั้นการผลิตกุหลาบมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่การผลิตบนที่สูงมากขึ้น
[แก้] ประเภท
กุหลาบสามารถจำแนกได้หลายแบบ เช่น จำแนกตามลักษณะการเจริญเติบโต ขนาดดอก สีดอก ความสูงต้น และจำแนก ตามลักษณะของดอก เป็นต้น ในที่นี้ได้จำแนกกุหลาบเฉพาะกุหลาบตัดดอกตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ทางการค้าในตลาดโลกเป็น 5 ประเภทดังนี้
กุหลาบดอกใหญ่ หรือ กุหลาบก้านยาว (large flowered or long stemmed roses) กุหลาบประเภทนี้เป็นกุหลาบไฮบริดที (Hybrid Tea: HT) ที่มีดอกใหญ่ แต่การดูแลรักษายาก ผลผลิตต่ำ (100-150 ดอก/ตร.ม./ปี) และอายุการปักแจกันสั้นกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกุหลาบ Floribunda มักมีก้านยาวระหว่าง 50-120 เซนติเมตร กุหลาบดอกใหญ่ได้รับความนิยมมากใน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เม็กซิโก ญี่ปุ่น ซิมบับเว โมร๊อกโก ฝรั่งเศส และ อิตาลี พันธุ์กุหลาบดอกใหญ่ที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศได้แก่ พันธุ์ เวก้า (Vega: แดง) , มาดาม เดลบา (Madam Delbard) , วีซ่า (Visa: แดง) , โรเท โรเซ (Rote Rose: แดง) , คารล์ เรด (Carl Red: แดง) , โซเนีย (Sonia: ชมพูส้ม) , เฟิร์สเรด (First Red: แดง) , โพรฟิตา (Prophyta: ปูนแห้ง) , บิอังกา (Bianca: ขาว) , โนเบลส (Noblesse: ชมพูส้ม) และ แกรนด์ กาลา (Grand Gala: แดง) เป็นต้น
กุหลาบดอกกลาง หรือ กุหลาบก้านขนาดกลาง (medium flowered or medium stemmed roses) เป็นกุหลาบชนิดใหม่ ซึ่งมีลักษณะระหว่างกุหลาบดอกใหญ่ และเล็ก เป็นกุหลาบ Hybrid Tea ให้ผลผลิตสูง (150-220 ดอก/ตร.ม./ปี) อายุการปักแจกันยาว และทนการขนส่งได้ดี ความยาวก้านระหว่าง 40-60 ซม. แหล่งผลิตที่สำคัญได้แก่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิตาลี อิสราเอล ซิมบับเว เคนยา พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ ซาช่า (Sacha: แดง) , เมอร์ซิเดส (Mercedes: แดง) , เกเบรียล (Gabrielle: แดงสด) , คิสส์ (Kiss: ชมพู) , โกลเด้นทาม (Goldentime: เหลือง) , ซาฟารี (Safari: ส้ม) และ ซูวีเนีย (Souvenir: ม่วง) เป็นต้น
กุหลาบดอกเล็ก หรือ กุหลาบก้านสั้น (small flowered or short stemmed roses) เป็นกุหลาบที่ได้รับความนิยมปลูก และบริโภคกันมากในยุโรป โดยเฉพาะ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ กุหลาบก้านสั้นนี้เป็นกุหลาบ Floribunda ที่ให้ผลผลิตสูง (220-350 ดอก/ตร.ม./ปี) อายุการปักแจกันยาว และทนต่อการขนส่งดีกว่ากุหลาบดอกใหญ่ มักมีความยาวก้านระหว่าง 30-50 เซนติเมตร แหล่งผลิตกุหลาบดอกเล็กได้แก่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิสราเอล และเคนยา พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ ฟริสโก (Frisco:เหลือง) , เอสกิโม (Escimo: ขาว) , โมเทรีย (Motrea: แดง) , เซอไพรซ์ (Surprise: ชมพู) , และ แลมบาด้า (Lambada: แสด) เป็นต้น
กุหลาบดอกช่อ (spray roses) เป็นกุหลาบชนิดใหม่ ให้ผลผลิตต่ำต่อพื้นที่ (120-160 ดอกต่อตารางเมตรต่อปี) ความยาวก้านระหว่าง 40-70 ซม. มักมี 4-5 ดอกในหนึ่งช่อ และยังมีตลาดจำกัดอยู่ เช่นพันธุ์ เอวีลีน (Evelien: ชมพู) เดียดีม (Diadeem: ชมพู) และ นิกิต้า (Nikita: แดง) เป็นต้น
กุหลาบหนู (miniature roses) มีขนาดเล็กหรือแคระโดยธรรมชาติ ความสูงของทรงพุ่มไม่เกิน 1 ฟุตให้ผลผลิตสูง 450-550 ดอก/ตร.ม./ปี มีความยาวก้านดอกระหว่าง 20-30 ซม. ยังมีตลาดจำกัดอยู่ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ และอิตาลี

ปลาวาฬ


ถึงแม้ว่าช้างจะเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่ช้างก็ยังมีขนาดตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับปลาวาฬ เพราะสถิติปลาวาฬพันธุ์ Balaenoptera ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลกนั้น ยาวถึง 34 เมตร และหนัก 190 ตัน ซึ่งคิดเทียบได้กับช้าง 10 ตัว แม้แต่ไดโนเสาร์เองซึ่งคนบางคนคิดว่าใหญ่กว่าปลาวาฬก็ยังหาได้ใหญ่เท่าไม่ ทั้งนี้เพราะความยาวของไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่คอและหาง ส่วนที่เป็นลำตัวจริงๆ จึงยาวน้อยกว่าปลาวาฬ
มนุษย์รู้จักปลาวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่าปลาวาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่าปลาวาฬมิใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัวและเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนมตามปกติปลาวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อนลูกปลาวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมปลาวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกปลาวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์ปลาวาฬก่อนคลอดลูก เราจะพบว่าลูกปลาวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา
เมื่อดูเผินๆ ปลาวาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโดหรือในทางตรงกันข้าม ตอร์ปิโดก็ดูคล้ายปลาวาฬ มันมีศรีษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาปลาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาหมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉาะปลาวาฬพิฆาต (Orcunus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า ปลาวาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าปลาวาฬสามารถกลั้นลมปราณได้นานเป็นชั่วโมงและออกซิเจนมิได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียวแต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อปลาวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ
การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ ได้รายงานว่าหลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังปลาวาฬแล้วเขาใช้ดาวเทียมรับและวิเคราะห์สัญญาณจากปลาวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า ปลาวาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ ปลาวาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ
นอกจากความสามารถในการดำน้ำแล้ว ปลาวาฬยังสามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วยและนับตั้งแต่วินาทีที่มันถูกคลอดออกจากท้องของแม่มัน จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตายมันจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในยามมันออกหาล่ามันก็จะส่งคลื่นเสียงออกไปกระทบตัวเหยื่อก่อน จากนั้นมันจะคอยฟังคลื่นที่สะท้อนจากเหยื่อ ข้อมูลที่ได้จะบอกมันให้รู้ชนิดและตำแหน่งของเหยื่อ และถึงแม้ปลาวาฬจะไม่มีคอและไม่มีสายเสียงก็ตาม แต่มันก็สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้ไกลๆ เสียงของปลาวาฬบางพันธุ์ ดังพอๆ กับเครื่องบินเจ็ต นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่าเวลาปลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบหนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนปลาร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่ปลาวาฬจะส่งเสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น ปลาวาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที
ปัจจุบันนักอนุรักษ์ปลาวาฬใช้ข้อมูลเสียงของปลาวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่ปลาวาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูปลาวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ
ปัญหาหนึ่ง ที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของปลาวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตเมื่อ 65 - 75 ล้านปีมาแล้วบรรพสัตว์ของปลาวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศ อียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกปลาวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตรและมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของปลาวาฬพันธุ์ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่าปลาวาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้
แต่ในปี พ.ศ. 2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของปลาวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วยกะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่าปลาวาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่ามันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหดเล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่ามันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของปลาวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัว walrus ที่เวลาจะคลอดลูก มันจะขึ้นจากทะเล
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับปลาวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าปลาวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าปลาวาฬ และกิจกรรมล่าปลาวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่าแทบทุกส่วนของปลาวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกปลาวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย
ทุกวันนี้ปลาวาฬกำลังถูกไล่ล่าฆ่ามากมายปลาวาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรปลาวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองปลาวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่าเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจปลาวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงปลาวาฬนี้จะสูญพันธุ์ ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพปลาวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 และได้คำนวณพบว่าอัตราการอยู่รอดของปลาวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของปลาวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้น จำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียปลาวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่ปลาวาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะปลาวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนปลาวาฬจึงได้ลดลงทุกปี
Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งปลาวาฬครั้งล่าสุดแล้วครับ

ต้นข้าว




ลักษณะของต้นข้าว เมื่อเอาเมล็ดข้าวไปเพาะให้งอก โดยแช่น้ำนานประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง แล้วเอาเมล็ดขึ้นมาเก็บไว้ในจานแก้วที่มีความชื้นสูง ในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ ๒๕ องศาเซลเซียส เมล็ดจะงอกภายใน ๔๘ ชั่วโมง โดยมีปุยสีขาวเกิดขึ้นที่ปลายด้านหนึ่งของเมล็ดข้าว ซึ่งเป็นปลายด้านที่ติดกับก้านดอก และส่วนที่งอกนั้นก็คือ embryo หรือคัพภะ ต่อไปก็จะมีรากและยอดโผล่ตามออกมา เมื่อเอาเมล็ดที่เริ่มงอกเหล่านี้ไปปลูกในดินที่เปียก ส่วนที่เป็นรากก็จะเจริญเติบโตลึกลงไปในดิน ส่วนที่เป็นยอดก็จะสูงขึ้นเหนือผิวดินแล้วเปลี่ยนเป็นใบ ต้นข้าวเล็ก ๆ นี้ เรียกว่า ต้นกล้า หลังจากต้นกล้ามีอายุประมาณ ๔๐ วัน ก็จะมีหน่อใหม่เกิดขึ้น โดยเจริญเติบโตออกมาจากตาซึ่งอยู่ที่โคนต้น ต้นกล้าแต่ละต้นสามารถแตกกอได้หน่อใหม่ประมาณ ๕-๑๕ หน่อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าว ระยะปลูก และความอุดมสมบูรณ์ของดิน แต่ละหน่อให้รวงข้าวหนึ่งรวง แต่ละรวงจะมีเมล็ดประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ เมล็ด ปกติต้นข้าวที่โตเต็มที่แล้วจะมีความสูงจากพื้นดินถึงปลายรวงที่สูงที่สุดประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ เซนติเมตร ซึ่งแตกต่างไปตามชนิดของพันธุ์ข้าว ตลอดถึงความอุดมสมบูรณ์ของดินและความลึกของน้ำ พันธุ์ข้าวบางพันธุ์มีต้นสูงและบางพันธุ์ก็มีต้นเตี้ย ภายในของต้นข้าวมีลักษณะเป็นโพรงและแบ่งออกเป็นปล้อง ๆ ฉะนั้นข้าวต้นสูงจึงล้มง่ายกว่าข้าวต้นเตี้ย

เพนกวิน


เพนกวิน/นกเพนกวินอาศัยอยู่บริเวณแดนขั้วโลกใต้ penguin/เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับนกแต่บินไม่ได้ เพนกวินสามารถดำน้ำและว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก เพนกวินชนิดต่างๆ เพนกวินมีทั้งหมด 18 ชนิด แต่ละชนิดมีการดำรงชีวิตในถิ่นอาศัยต่างกันไป เพนกวินแคระ/สูงประมาณ40ซม.อาศัยอยู่ทางใต้ของนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย เพนกวินกาลาปากอส/สูงประมาณ50ซม.อาศัยอยู่ในถ้ำตามชายหาดของเกาะกาลาปากอส เพนกวินเคป/สูงประมาณ63ซม.อาศัยอยู่ในทะเลทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของแอฟริกาใต้ เพนกวินนักกระโดด/สูงประมาณ63ซม.อาศัยอยู่ที่เกาะทางขั้วโลกใต้ ชอบกระโดดขึ้นลงทะเลจากโขดหินที่ลาดชัน เพนกวินแมกเจนแลน/สูงประมาณ71ซม.อาศัยอยู่ตามแนวชายหาดของชิลี เรื่อยลงไปจนถึงที่ราบสูงปาตาโกเนีย

แมวน้ำ


สิงโตทะเล (Sea Lion) ต่างจาก แมวน้ำ (Seal) โดยที่สิงโตทะเลมีหูเล็กๆ แต่เห็นได้ชัด ส่วนแมวน้ำไม่มีใบหู
นอกจากนั้นสิงโตทะเลเดินได้โดยใช้ flipper หรือครีบ คือครีบหน้าสองข้างและครีบหลังที่ปลายลำตัว ซึ่งใช้ดันหัวให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ขณะที่แมวน้ำซึ่งตัวเล็กกว่า ไม่สามารถเดินโดยใช้ครีบได้ จึงต้องคลานหรือเลื้อยไปข้างหน้า
ส่วนสัตว์อีกชนิดหนึ่งคุณคงหมายถึง แมวน้ำช้าง (elephant seal) หรือ ช้างน้ำ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์แมวน้ำ สกุล Mirounga ขนาดใหญ่เท่าวอลรัสแต่ไม่มีเขี้ยว และจมูกไม่ย้อยเหมือนพะยูน
สุดท้ายคือ วอลรัส (walrus) รูปร่างคล้ายสิงโตทะเล แต่ตัวใหญ่กว่ามากและมีเขี้ยวยาว
ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม

ทะเลสาบสงขลา


ทะเลสาบสงขลา


ทะเลสาบสงขลา
ทะเลสาบสงขลา เป็นทะเลสาบแห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในจังหวัดพัทลุง และสงขลา ในจังหวัดพัทลุงยังมี หาดแสนสุข บริเวณปากคลองลำปำ เป็นหาดที่มีบรรยากาศร่มรื่นอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง ทะเลสาบสงขลามีความยาวจากปากทะเลสาบ (อำเภอเมืองสงขลา) ไปทางทิศเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร ส่วนกว้างไม่แน่นอนบางตอนแคบ บางตอนกว้างมากส่วนที่กว้างที่สุดประมาณ 20-25 กิโลเมตร ทะเลสาบสงขลาเป็น ทะเลสาบน้ำกร่อยจะกร่อยมากในช่วงที่ติดกับทะเลอ่าวไทยตรงปากทะเลสาบ ในทะเลสาบสงขลามีเกาะอยู่-หลายเกาะที่สำคัญได้แก่ เกาะสี่ เกาะห้า เกาะหมาก (ตำบลเกาะหมาก) เกาะนางคำ(ตำบลเกาะนางคำ) และเกาะยอ(ตำบลเกาะยอ)นักท่องเที่ยวสามารถหาเรือท่องเที่ยวในทะเลสาบ ได้ บริเวณท่าเรืออยู่หลังที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข หรือบริเวณตลาดสดจะมีเรือหางยาวรับส่งตลอดวัน
พิกัดภูมิศาสตร์: 7°36′N 100°14′E

คอมพิวเตอร์



ฮาร์ดแวร์
ความหมายและความเป็นมา
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
ย้อนรอยอดีต...คอมพิวเตอร์
กำเนิดเครื่องคอมพิวเตอร์
ชนิดของคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีการนำข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
ส่วนรับข้อมูล
คีย์บอร์ด
เมาส์
สแกนเนอร์
บาร์โค๊ด
เครื่องอ่านบัตร (card reader)
เครื่องเจาะบัตรโดยใช้คอมพิวเตอร์
ส่วนควบคุมกลาง
เมนบอร์ด
กลไกการทำงานของซีพียู
ส่วนควบคุม
ส่วนคำนวณ
หน่วยความจำหลัก
รอม
แรม
หน่วยความจำสำรอง
หน่วยความจำแคชสำหรับดิสก์
เครื่องแถบแม่เหล็ก
ดิสก์ไดรว์
แผ่นบันทึก
ฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์ทำงานอย่างไร
จานแสง
ส่วนแสดงผล
จอภาพ
เทคโนโลยีจอภาพแสดงผล
เครื่องรับส่งแบบจอโทรทัศน์
เครื่องพิมพ์แบบจุด
เครื่องพิมพ์เลเซอร์
เครื่องพิมพ์ความเร็วสูง
PCL มาตรฐานภาษาสั่งงานเครื่องพิมพ์เลเซอร์
ความหมายของโมเด็ม
จตุรัสเทคโนโลยี : DSVD โมเด็มยุคใหม่
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบำรุงรักษาเครื่อง
10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
การบำรุงรักษาเครื่องพีซี
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้ออุปกรณ์ Input
การแก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
สถาปัตยกรรมไมโครโปรเซสเซอร์
ประวัติความเป็นมาของไมโครโปรเซสเซอร์
สถาปัตยกรรมของ CPU Z-80
สถาปัตยกรรมของ CPU 8086
สถาปัตยกรรมทั่วไปของชิปตระกูลต่างๆที่น่าใจ
สถาปัตยกรรมของ Multitier Client Server
ไมโครโปรเซสเซอร์ 64 บิต
ซอฟท์แวร์
ซอฟต์แวร์ คืออะไร
ระบบปฏิบัติการ Window 95 คืออะไร
ระบบปฏิบัติการ DOS เป็นอย่างไร
การปรับแต่งเมาส์ให้ทำงานตามที่ต้องการ
การฟอร์แมตแผ่นดิสก์เก็ตบน Windows 95/98
Windows 98 กับ 25 ปัญหากวนใจ
Unix คืออะไร
Linux คืออะไร
Database Management
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คืออะไร
ไวรัสคอมพิวเตอร์ คืออะไร
แนวทางในการสร้างโปรแกรมซ่อมเสริม
ความรู้เกี่ยวกับ Internet Proxy-Services
การสร้าง IMMCAI
การใช้โปรแกรม MS Gif Animator
การติดตั้งระบบเครือข่ายอย่างง่าย
เทคนิคการกู้ข้อมูลบนดิสก์ 3.5 นิ้ว
เลือกการบูตใน config.sys ให้ถูกใจ
สารพัน UNIX ตอน SA กับการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
การสร้างเสียงที่ดีขึ้นจากลำโพงตัวเดิม
การพัฒนาซอฟแวร์ แบบออปเจ็กกับเทคโนโลยีเว็บ
ระบบสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์เครือข่าย
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (2)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับระบบสำนักงานอัตโนมัติ
การเชื่อมโยงระบบ UNIX กับระบบเครือข่าย DOS
ยูนิกซ์กับเน็ตเวอร์ก
รูปร่างเครือข่าย
วิธีการถ่ายโอนข้อมูล
การต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ตัวกลางเชื่อมโยง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อระหว่างเครือข่าย
เส้นใยแก้วนำแสง
เส้นใยแก้วนำแสง (fiber optic) คืออะไร
แสงสามารถเดินทางผ่านเส้นใยแก้วนำแสงได้อย่างไร
เส้นใยแก้วนำแสงสั้นหรือยาวเกินไป จะทำอย่างไร
แอดเดรสบนเครือข่าย
ชื่อและเลข IP
รู้จักกับบริดจ์ สวิตซ์ และเราเตอร์
NMS ระบบดูแลและบริหารเครือข่าย
เคเบิลใยแก้วใต้น้ำ
เครือข่ายความเร็วสูง
โทรศัพท์คอมพิวเตอร์
เมื่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ กำลังจะเดินทาง เข้าภายในบ้าน
การเดินสายสื่อสารภายในอาคารตามมาตรฐานระบบเปิด
โปรโตคอลประยุกต์บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รู้จักกับไคล์เอ็นต์เซอร์ฟเวอร์
ไคลแอนต์ และ เซิร์ฟเวอร์
LAN โปรโตคอล
เครือข่าย LAN และ WAN
การเชื่อมโยงระหว่างเครือข่าย
Frame Relay
Frame Relay ทางเลือกใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม
เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้วย Proxy Server
เครือข่ายความเร็วสูง Gigabit Ethernet
ADSL เทคโนโลยีที่จะพาสายคู่ตีเกลียวสู่ยุคทางด่วนข้อมูล
เทคโนโลยีอีเธอร์เน็ตสวิตชิงทิศทางของเครือข่ายแลน
SOHO กับเทคโนโลยีอีเธอร์เน็ต
นานาสาระกับVirtual Private Network
สารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน
คอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริหาร
มัลติมีเดียที่มาของการขยายเทคโนโลยีเครือข่าย
เทคโนโลยีมัลติมีเดีย
ทางด่วนข้อมูล รากฐานของการศึกษาทางไกล
วิทยุ ทีวี บนอินเทอร์เน็ต
สารสนเทศส่วนบุคคล ความจำเป็นของการใช้คอมพิวเตอร์
ระบบข้อมูลข่าวสารขององค์กร โครงสร้างกำลังเปลี่ยนแปลง
ดิจิตอลไลบรารี่
การรักษาความปลอดภัยบนเครือข่าย
สอบสวนภูมิหลังอินเทอร์เน็ต
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ทำงานอย่างไร
กว่าจะมาเป็นไฟร์วอลล์
เมื่อทางด่วนข้อมูลข่าวสารกำลังเป็นจริงการประยุกต์ทีวีปฏิสัมพันธ์
Video CD ภาพกระตุก
ความปลอดภัยในเครือข่าย
จะไล่ตามจับเทคโนโลยีกันอย่างไรดี
วีดีโอออนดีมานด์
สมรรถนะเชิงเปรียบเทียบของชุมสายเอทีเอ็ม
การพัฒนารากฐานด้านไอทีในองค์กร
ไซเบอร์แคชระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์
มาตรฐานการพิมพ์หนังสือดิจิตอล
แฮกเกอร์
Automatic ID ระบบเพื่องานธุรกิจ
รู้จักกับวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
รู้จักกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ ATM
MPEG คืออะไร
ปรับแต่ง Windows 95 ให้อ่านไฟล์ได้เร็วขึ้น
เพิ่มความเร็วในการเรียกใช้เมนู Start
สมาร์ทการ์ด : บัตรอเนกประสงค์สำหรับวันนี้และอนาตต
การสื่อสารด้วยวิดีโอแบบปฏิสัมพันธ์
โกลบอล-คอมมิวนิเคชัน บนฐานอินเทอร์เน็ต
การพัฒนาซอฟต์แวร์แนวใหม่ ซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ
เราได้ประโยชน์อะไรจากกล้องถ่ายภาพดิจิตอล
แก้การขาดแคลนแบนด์วิดธ์ในเน็ต ด้วย Optical Communication
ปัจจัยเริ่มต้นเมื่อเริ่มตั้งอินเทอร์เน็ตในองค์กร
Virtual Office และ Teleworking บนอินเทอร์เน็ต
Mobile Computing
ไอทีกับแนวโน้มโลก
นัยน์ตากับคอมพิวเตอร์

ภาวะโลกร้อน


ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

ว่านหางเข้



ว่านหางจรเข้
Aloe Aloe baebadensis Mill, Aloe vera Linn.var chinensis (Haw.) Berg ALOACEAE ชื่ออื่น ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ), หางตะเข้ (ภาคกลาง)รูปลักษณะไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ข้อและปล้องสั้น ใบเดี่ยวเรียงรอบต้น กว้าง 5-12 ซม. ยาว 0.3-0.8 เมตร อวบน้ำมากสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวเข้ม ภายในมีวุ้นใส ใต้ผิวสีเขียวมีน้ำยางสีเหลือง ใบอ่อนมีประสีขาว ดอกช่อ ออกจากกลางต้น ดอกย่อยเป็นหลอดห้อยลง สีส้ม บานจากล่างขึ้นบน ผลแห้ง แตกได้สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยาวุ้นสด - ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง วิธีใช้ให้เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน ล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออกด้วยมีดสะอาดล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ ฝานเป็นแผ่นบางปิดแผล หรือขูดเอาวุ้นใสปิดพอกรักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกแผลไหม้เกรียมจากแสงแดด และรังสี ทาผิวรักษาสิวฝ้า และขจัดรอยแผลเป็น อาจใช้ผ้าพันแผลที่สะอาดพันทับ เปลี่ยนวุ้นใหม่วันละครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย ใช้วุ้นสดกินรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี และใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายประเภท เช่น แชมพูสระผม สบู่ ครีมกันแดด เป็นต้นสารที่ออกฤทธิ์เป็นกลัยโคโปรตีน ชื่อ aloctin A ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ และเพิ่มการเจริญทดแทนของเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นแผล แต่มีข้อเสีย คือ สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนไม่ควรทิ้งวุ้นสดไว้เกิน 24 ชั่วโมง น้ำยางสีเหลืองจากใบ - เคี่ยวให้แห้ง เรียกว่า "ยาดำ" เป็นยาระบายชนิดเพิ่มการบีบตัวของลำไส้ใหญ่

ขี้เหล็ก



ขี้เหล็ก
Cassod Tree, Thai Copper Pod, Siamese CassiaSenna Siamea (Lamk.) H.S.Irwin et R.C.Bameby (Cassia siamea Lamk.) FABACEAE ชื่ออื่นขี้เหล็กบ้าน ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ) ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง) ยะหา (ปัตตานี) ผักจี้ลี้ (ฉานแม่ฮ่องสอน) แมะขี้เหละพะโคะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) ขี้เหล็กแก่นรูปลักษณะไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปขอบขนาน กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 4 ซม. ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแกมเขียว ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝัก แบบยาวและหนาสรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยาใบ รสขม ถ่ายพรรดึก ถ่ายกระษัย ถ่ายพิษไข้ พิษเสมหะ ขับปัสสาวะแก้ระดูขาว แก้นิ่ว ตำพอกแก้เหน็บชา แก้บวม บำรุงโลหิตดับพิษโลหิต ดองสุราดื่มก่อนนอน แก้นอนไม่หลับใบอ่อน, ดอกตูมและแก่น - มีสารกลุ่มแอนทราควิโนนหลายชนิด จึงมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ใช้ใบอ่อนครั้งละ 2-3 กำมือ ต้มกับน้ำ 1-1.5 ถ้วย เติมเกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว นอกจากนี้ยังพบสารซึ่งมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้นอนหลับ โดยใช้วิธีนำมาดองเหล้า ดื่มก่อนนอนดอก รสขม แก้โรคประสาท แก้นอนไม่หลับ แก้หืด แก้รังแค เป็นยาระบายฝัก รสขม แก้ไข้พิษเพื่อปิตตะ ไข้เพื่อเสมหะเปลือกฝัก รสขมเฝื่อน แก้เส้นเอ็นตึง แก้กระษัยเปลือกต้น รสขม แก้กระษัย แก้ริดสีดวงทวารกระพี้ รสขมเฝื่อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้เพื่อดี แก้กระษัยเส้นเอ็นแก่น รสขมเฝื่อน ถ่ายพิษถ่ายเส้น ถ่ายม้าม แก้กระษัย แก้เหน็บชาแก้ไข้เพื่อกระษัย ขับโลหิต แก้เตโชธาตุพิการ ทำให้ตัวเย็น แก้แสบตาแก้กามโรค หนองใสราก รสขม แก้ไข้ แก้ไข้กลับ ไข้ช้ำ รักษาแผลกามโรค

คนทีสอ



คนทีสอ
Tree Leaved Chaste Tree, Indian Privet,Indian Wild PepperVitex trifolia LinnVERBENACEAEชื่ออื่นคนทีสอขาว, โคนดินสอ, สีสอ (ประจวบ), มูดเพิ่ง (ตาก), ผีเสื้อน้อย,ดอกสมุทร, สีเสื้อน้อยรูปลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ สูง 3-6 เมตร เปลือกนอกสีเทาดำเปลือกในสีเหลืองอ่อน แตกเป็นร่องตื้นๆ ตามยาว เรือนยอดเป็นพุ่มกว้าง 2-3 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้น ตามป่าเบญจพรรณทั่วไปในต่างประเทศพบว่า มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียถึงออสเตรเลียความน่าสนใจของไม้ต้นนี้คือ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีดอกดก สีหวาน และตัดแต่งทรงพุ่มได้ง่าย ปลูกได้ทั่วไปใช้พื้นที่ไม่มากนัก ใช้เป็นองค์ประกอบในการจัดสวนได้ดี และใช้ด้านสมุนไพรไทยได้มากมายเกือบทุกส่วน เช่น ต้น ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียดท้องอืด เฟ้อ เปลือกแก้ไข้ แก้ระดูพิการ แก้คลื่นเหียน แก้พยาธิ แก้จุกเสียด ดอก รสหอมฝาด แก้ไข้ แก้พยาธิ แก้หืดไอ แก้ไข้ในหญิงมีครรภ์ แก้ไข้อันบังเกิดแต่ทรวง บำรุงครรภ์มารดา บำรุงน้ำนมดี สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยาใบ รสร้อนสุขุมหอม บำรุงน้ำดี ขับลม แก้หือไอ ฆ่าพยาธิแก้สาบสางในร่างกาย แก้ริดสีดวงจมูก แก้เสมหะ จุกคอแก้ลำไส้พิการ แก้ปวดตามกล้ามเนื้อตามข้อ ขับเหงื่อดอก รสหอมฝาด แก้ไข้ในหญิงมีครรภ์ แก้ไข แก้หืดไอ ฆ่าแม่พยาธิลูก รสร้อนสุขุม แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ไข้ ฆ่าพยาธิ แก้ไอแก้ริดสีดวง ท้องมานเมล็ด รสร้อนสุขุม ระงับปวด เจริญอาหารราก รสร้อนสุขุม (ร้อนติดเมาอ่อนๆ) แก้ไข้ แก้โรคตับ โรคตาถ่ายน้ำเหลือง ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะต้น ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียดท้องอืด เฟ้อ เปลือกแก้ไข้ แก้ระดูพิการ แก้คลื่นเหียน แก้พยาธิ แก้จุกเสียด ดอก รสหอมฝาด แก้ไข้ แก้พยาธิแก้หืดไอ แก้ไข้ในหญิงมีครรภ์ แก้ไข้อันบังเกิดแต่ทรวง บำรุงครรภ์มารดา บำรุงน้ำนมดี

มะกรูด



มะกรูด
Leech Lime, Kaffir LimeCitrus hystrix D.C. วงศ์ Rutaceaeชื่อท้องถิ่น มะขูด มะขุน ส้มกรูด ส้มมั่วผีลักษณะ มะกรูดเป็นพืชที่ใช้เป็นเครื่องเทศมานานแล้ว โดยใช้ผิวของผลเป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหลายชนิด ใช้เข้าเครื่องหอมโดยเป็นส่วนผสมในเทียนอบ ใบมะกรูดมีกลิ่นหอมใช้แต่งกลิ่นในอาหารคาวหลายชนิดเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด น้ำมะกรูดใช้ปรุงอาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยวและดับกลิ่นคาวปลาคนโบราณนิยมสระผมด้วยน้ำมะกรูด เพราะช่วยให้ผมดำเป็นมันไม่แห้งกรอบ คนไทยนิยมปลูกมะกรูดไว้ตามบ้านและในสวน มะกรูดเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ใบมีกลิ่นหอม ผลค่อนข้างกลม ผิวขรุขระมีปุ่มนูนและมีจุกที่หัวของผล ส่วนที่ใช้ คือ ใบและผลสารสำคัญ ในใบและผลมะกรูด เมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำจะให้น้ำมันหอมระเหยในปริมาณ 0.08 % และ4 % ตามลำดับ น้ำมันหอมระเหยจากผิวมะกรูดมักประกอบด้วยเบต้า-ไพนีน, ไลโมนีนและซาบินีน เป็นสารหลักส่วนน้ำมันหอมระเหยจากใบจะประกอบด้วย ซีโทรเนลลาล, ไอโซพูลิโกลและไลนาลูออล เป็นสารหลัก ส่วนในน้ำมะกรูดมีกรดซิตริก ไวตามินซีและกรดอินทรีย์ชนิดอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ

ดอกพูภูคา


"ชมพูภูคา" หนึ่งเดียวในโลกที่ดอยภูคาดอกชมพูภูคา ต้นไม้ที่มีรายงานว่าพบเพียงแห่งเดียวในโลก ที่ อุทยานฯดอยภูคา จ. น่านช่วงเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรัก สำหรับคนที่มีความรักหลายๆคนคงจะมีโลกที่สดใสมองเห็นอะไรเป็นสีชมพูไปหมด สำหรับที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน ช่วงนี้ก็มีสีชมพูโดดเด่นเช่นกัน แต่ว่าหาใช่สีชมพูที่เกิดจากความรัก หากแต่เป็นสีชมพูที่เกิดจากการผลิบานของดอก "ชมพูภูคา" (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bretschneidera sinensis Hemsl. ชื่อวงศ์ : BRETSCHNEIDERACEAE) ต้นไม้พันธุ์หายากที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีรายงานการค้นพบในโลกเพียงที่เดียวคือที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเคยมีรายงานการสำรวจพบต้นชมพูภูคาทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปแล้ว จนในปี พ.ศ. 2532 ดร.ธวัชชัย สันติสุข นักพฤกษศาสตร์ ได้ค้นพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคาชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-25 เมตร จะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณป่าดงดิบ ตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และมีความชื้นของอากาศสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีค่อนต่ำ สำหรับลักษณะทั่วไปของ "ต้นชมพูภูคา" จะมีเปลือกเรียบสีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวมีใบย่อยรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว แผ่นใบด้านล่างมีนวลสีขาว ส่วนดอกเมื่อบานจะมีลักษณะคล้ายรูประฆัง กลีบดอกด้านนอกมีสีชมพูจางขาว และกลีบดอกด้านในมีสีชมพูลายเส้นสีม่วง ชูช่อเป็นพวงใหญ่ โดยปัจจุบันได้มีการทดลองเพาะกล้าไม้ชมพูภูคาเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็จะช่วยให้ต้นไม้ชนิดนี้ไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกของเรา สำหรับ "ดอกชมพูภูคา" จะออกดอกเบ่งบานระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งผู้ที่สนใจก็สามารถไปชมดอกชมพูภูคา ได้ที่ "อุทยานแห่งชาติดอยภูคา" ซึ่งอุทยานแห่งนี้นอกจากจะมีดอกชมพูภูคาเป็นไฮไลท์แล้วก็ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกอย่างเช่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นบริเวณที่ทำการอุทยานฯ โดยในเส้นทางศึกษาธรรมชาตินี้มีต้นชมพูภูคาเป็นพระเอก ส่วนพระรองก็มี ต้นเต่าร้างยักษ์ ซึ่งเป็นปาล์มที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ มีลำต้นสูงใหญ่กว่าต้นเต่าร้างทั่วไป เมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 8-12 เมตร ดอยภูแว เป็นดอยสูงที่พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้า โดยในช่วงฤดูหนาวมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินขึ้นสู่ยอดดอยภูแวเพื่อชมทิวทัศน์และชมพระอาทิตย์ขึ้น รวมถึงทะเลหมอกที่สวยงามซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งดอย ทั้งนี้ผู้ที่สนใจขึ้นดอยภูแวต้องติดต่อให้เจ้าหน้าที่นำทางป่าปาล์มดึกดำบรรพ์ บริเวณรอบๆ ดอยภูแว มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ไร่ เป็นป่าปาล์มธรรมชาติดงดิบ แทบจะไม่มีพันธุ์ไม้อื่นใดปะปน ซึ่งชาวเขาเผ่าม้งเรียกว่า

ปลาทอง



ชื่อไทย ปลาทอง
ประวัติถิ่นที่อยู่อาศัย ประเทศจีน
รูปร่างลักษณะ พุงป่องอ้วน ตุ้ยนุ้ย
อุปนิสัย การฟักตัวของไข่ของปลาทองสามารถปรับอุณหภูมิได้อยู่ระหว่าง 0-35 องศาเซลเซียส ช่วงอุณหภูมิที่ดีที่สุดคือ 20-25 องศาเซลเซียส ปลาทองเป็นปลาที่วางไข่ตลอดทั้งปีแต่จะชุกมากในเดือนเมษายน-ตุลาคม หรือช่วงที่อากาศไม่เย็นจนเกินไป ปลาทองที่วางไข่ครั้งแรกแล้วจะสามารถวางไข่ติดต่อกันไปอีกเป็นเวลาประมาณ 6-7 ปี
การเลี้ยงดู น้ำที่จะใช้เลี้ยงปลาทองหากเป็นน้ำประปาหรือน้ำบาดาลต้องมีการพักน้ำทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้สารพิษต่างๆ ที่ปนอยู่ได้คลายตัวไปบ้าง เช่น คลอรีน คาร์บอนไดออกไซด์ การย้ายแม่ปลาทองที่ออกไข่จะต้องย้ายทันทีเมื่อปลาทองวางไข่เพราะมันจะเริ่มกินไข่ของตัวเองทันทีในวันต่อมา

นกยูง


ลักษณะทั่วไป เป็นนกขนาดใหญ่มาก ความยาววัดจากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 102 - 245 เซนติเมตร ทั้งเพศผู้และเพศเมียมีหงอนเป็นพู่สีเหลืองชี้ตรงอยู่บนหัว ต่างจากนกยูงอินเดียซึ่งเป็นรูปพัด บนหัวและคอเป็นขนสั้น ๆ สีเขียวเหลือบน้ำเงิน หน้ามีสีฟ้า ดำ และเหลือง ขนคอ หน้าอกและหลังตรงกลาง ขนมีเหลือบน้ำเงินแก่ล้อมด้วยสีเขียวและสีทองแดง นกยูงตัวผู้มีแพนขนปิดหางยาวหลายเส้น ตรงปลายมีดอกดวง "แววมยุรา" ตรงกลางดวงมีสีน้ำเงินแกมดำอยู่ภายในพื้นวงกลมเหลือบเขียว ล้อมรอบด้วยรูปไข่สีทองแดง เมื่อนกยูงรำแพนจึงเป็นรูปพัดขนาดใหญ่มีสีสันสวยงามมาก นกยูงตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย และมีเดือยสั้นกว่า ขนของตัวเมียมักมีสีน้ำตาลแดงแทรกอยู่เป็นคลื่น ถิ่นอาศัย, อาหาร นกยูงมีการกระจายพันธุ์ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกาะชวา ในประเทศไทยพบในภาคเหนือและภาคตะวันตก นกยูงกินทั้งพืชและสัตว์ ได้แก่ เมล็ดหญ้า เมล็ดของไม้ต้น ธัญพืช ผลไม้สุก แมลง ตัวหนอน ไส้เดือน งู และสัตว์ขนาดเล็ก พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ นกยูงอาศัยตามป่าทั่วไปในระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พบอยู่เป็นฝูงเล็กๆ หลังช่วงฤดูผสมพันธุ์มักพบตัวเมียอยู่กับลูกตามลำพัง มักออกหากินในช่วงเช้าและบ่าย ตามชายป่าและริมลำธาร ตอนกลางคืนมักจับคอนนอนตามกิ่งไม้ค่อนข้างสูง การเกี้ยวพาราสีกันของนกยูงเริ่มเมื่อนกยูงตัวเมียหากินเข้าไปดินแดนของนกตัวผู้ ตัวผู้จะร่วมเข้าไปหากินในฝูงด้วย และแสดงการรำแพนหาง กางปีกสองข้างออกพยุงลำตัว ชูคอขึ้นแล้วย่างก้าวเดินหมุนตัวไปรอบ ๆ ตัวเมีย การรำแพนหางจะใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที หากตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์จะย่อตัวลงให้ตัวผู้ขึ้นผสมพันธุ์ นกยูงทำรังบนพื้นดินตามที่โล่งหรือตามซุ้มกอพืช อาจมีหญ้าหรือใบไม้แห้งมารองรัง วางไข่ครั้งละ 3 - 6 ฟอง เริ่มฟักไข่หลังจากออกไข่ฟองสุดท้ายแล้ว โดยใช้เวลาฟักทั้งสิ้น 26 - 28 วัน ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยคลุมทั่วตัว สามารถยืนและเดินตามแม่ไปหาอาหารได้ทันทีที่ขนแห้ง โดยลูกนกจะตามแม่ไปหากินไม่น้อยกว่า 6 เดือน จากนั้นจึงหากินตามลำพัง สถานภาพปัจจุบัน นกยูงในป่าธรรมชาติค่อนข้างหายาก และปริมาณน้อย นอกจากบางแห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ยังพบได้บ่อย และปริมาณปานกลาง กฎหมายจัดให้นกยูงไทยเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 สถานที่ชม สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา

ตำนานโลมา


ตำนานโลมา

ตำนานกรีก เล่าว่า เทพแห่งไวน์ ของกรีก ชื่อ ไดโอนีซอส (Dionysos) แปลงลง มาเป็นมนุษย์ และได้ โดยสารเรือ ข้ามจาก เกาะอิคาเรีย (Ikaria) ไปยังเกาะนาซอส ในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน
ไดโอนีซอสนั้น แม้จะ เป็นเทพ ทว่า ไม่มีญาณ หยั่งรู้ว่า เรือลำที่ตน โดยสาร ไปนั้น เป็นเรือโจร ลูกเรือ จะปล้น ผู้โดยสาร ทุกคน ถ้วนหน้า เมื่อถึงคราว ของ ไดโอนีซอส เขาจึง ถูกลูกเรือ ปล้น และคิด จะจับเขา ไปขาย เป็นทาส
ด้วยเหตุนี้ เขาจึง จำต้อง แสดงตน ว่าเป็นเทพ และสาป ให้เรือ มีเถาองุ่น ขึ้นเต็ม มีเสียงขลุ่ย ดังขึ้น ในเรือ พวกลูกเรือ ตกใจ จึงกระโดดน้ำ หนีไปหมด กลายเป็นปลา โลมา มาจนกระทั่งทุกวันนี้
เมื่อกลายเป็น ปลาโลมา นิสัย ของลูกเรือ เปลี่ยนไป กลายเป็นสัตว์ ที่ใจดี มีเมตตา แถมยังช่วยเทพแห่งสมุทร คือ โพซิดอน หาเจ้าสาวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ปลาโลมา จึงได้รับเกียรติ จากโพซิดอน ตั้งชื่อ กลุ่มดาว กลุ่มหนึ่งว่า กลุ่มดาวโลมา อีกด้วย
ที่จริงแล้ว โลมา เคยเป็นสัตว์ เลี้ยงลูก ด้วยนมที่อยู่ บนบก เหมือนมนุษย์ แต่เพื่อ ความพยายาม หาอาหาร เลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง และหนีศัตรู โลมา จึงค่อยๆ ปรับตัว ให้ลงไปอยู่ ในน้ำ เพื่อความอยู่รอดแทน
นั่นเป็น ตำนาน ของคน โบราณ แต่ในความ เป็นจริงแล้ว โลมา เป็นสัตว์ เลือดอุ่น อาศัย อยู่ในน้ำ คลอดลูก เป็นตัว แถมยัง เลี้ยงลูก ด้วยนม เหมือนมนุษย์ และยัง เป็นสัตว์น้ำ ที่น่ารัก เสียด้วย

สำรวจสรีระของโลมา

โลมา อาศัยอยู่ กระจัด กระจาย ทั่วไป ใน มหาสมุทร นับร้อยชนิด แต่ที่เรารู้จัก กันดี มีอยู่ ๒ ชนิด คือ โลมาปากขวด กับ โลมาหัวบาตร โดยเฉพาะ ใน ประเทศไทย
บางครั้งยังพบโลมาอยู่ใน แม่น้ำอีกด้วย เช่น ในแม่น้ำ คงคาที่ประเทศอินเดีย และใน แม่น้ำโขง เป็นโลมาหัวบาตร น้ำจืด
โลมา มีอวัยวะต่างๆทุกๆ ส่วน เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมทั่วไป หากแต่ละส่วนของ อวัยวะ จะปรับเปลี่ยน ต่างไป จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั่วไป ดังนี้
จมูกโลมามีจมูกไว้หายใจ แต่จมูกนั้นต่างไป จากจมูก ของสัตว์ อื่นๆ เพราะตั้งอยู่ กลาง กระหม่อม เลยทีเดียว เพื่อให้สะดวกต่อการ เชิด หัวขึ้น หายใจเหนือน้ำ จากจมูก มีท่อ หายใจ ต่อลงมา ถึงปอด ในตัว จึงไม่จำเป็น ต้องให้น้ำ ผ่านเหงือก เข้าไป ในปอด เพื่อช่วยหายใจ เหมือนปลาทั่วไป
หู หูของโลมานั้นเป็น เพียงแค่รูเล็กจิ๋วติดอยูด้าน ข้างของหัวเท่านั้น แต่หูของ โลมา มีประสิทธิภาพสูงมาก รับคลื่นเสียง ใต้น้ำ ได้อย่าง ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกับ ภาษา ที่โลมา สื่อสารกัน ด้วยเสียง ที่มี คลื่นความถี่สูง
การมองเห็นโลมามีดวงตา แจ่มใส เหมือนตา สัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม มีเปลือกตา ปิดได้ และในเวลา กลางคืน ตาก็จะเป็น ประกาย เหมือนตาแมว ตาของโลมา ไม่มีเมือกหุ้ม เหมือนตาปลา และมองเห็น ได้ไกลถึง ๕๐ ฟุต เมื่ออยู่ในอากาศ
สีผิวสีผิว ของโลมา แต่ละชนิด จะแตกต่างกัน ส่วนมาก จะออก ไปในโทน สีเทา ตั้งแต่เข้ม เกือบดำ จนกระทั่ง ถึงเกือบขาว แต่โดยทั่วไป ปลาโลมาจะมีสีผิว แบบทูโทนคัลเลอร์ คือมีสองสี ตัดกัน ด้านบน เป็นสีเทาเข็ม ด้านล่าง เป็นสีเกือบขาว เพื่อพรางตัว ในทะเล ไม่ให้ ศัตรูเห็น เพราะเมื่อ มองจาก ด้านบน สีเข็มจะกลืน กับสีน้ำทะเล และถ้า มองจาก ด้านล่าง ขึ้นไป สีขาว ก็จะกลืน เข้ากับ แสงแดด เหนือผิวน้ำ

กรรณิการ์


กรรณิการ์
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ เรียงตรงข้าม ใบทรงรูปไข่ ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย
ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เป็นดอกเดี่ยวมีโคนกลีบติดกัน มีลักษณะเป็นหลอดสีส้ม กลีบดอกแคบ ปลายกลีบสีขาวและไม่เสมอกัน จะมีกลิ่นหอมตอนกลางคืน และดอกจะร่วงหมดในตอนเช้า ผลมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ภายในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด
ขยายพันธุ์โดยการตอนหรือปักชำ

ปะการัง


ปะการัง
ปะการังเป็น สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในทะเล ที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลน้ำตื้น ระดับที่แสงสว่าง ส่องลงไปถึง และไม่พบใน แหล่งน้ำจืดเลย ปะการังทั่วโลก มีจำนวนรวมกัน ประมาณ 700 ชนิด และพบในทะเลไทยประมาณ 350 ชนิด ปะการัง มีรูปร่างเป็น ทรงกระบอก ด้านบนมีปากอยู่ตรงกลาง และมีหนวดจำนวนมาก เรียงราย อยู่โดยรอบ และ เรียกชื่อลักษณะดังกล่าวนี้ว่า "โฟลิป" ( polyp ) ปะการังส่วนใหญ่ อาศัยอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มและมีเนื้อเยื่อ ติดต่อถึงกัน ซึ่งเรียกว่า โคโลนี (colony)
ปะการังมีโครงค้ำจุนร่างกาย เป็นสารประกอบ จำพวกหินปูน เมื่อตัวปะการังตายแล้ว จึงเหลือแต่โครงเป็นช่องๆ ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของ แต่ละโพลิปนั่นเอง ตัวอย่างของ ซากปะการังชนิดนี้ คือปะการังผึ้ง ซึ่งอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนี
ปะการังเป็นสัตว์ในไฟลั่มไนดาเรีย (Cnidaria) ซึ่งมีเซลล์พิเศษ ทำหน้าที่สร้างเข็มพิษ เรียกว่า นีมาโตซีส ( ืnematocyst ) ลักษณะเป็นกระเปาะกลมภายในบรรจุน้ำพิษ มีท่อเป็น สายยาวใช้แทงเข้าไป ในเนื้อเยื่อหรือศัตรู น้ำพิษของปะการังนั้นมีพิษ น้อยมาก
ภายในเนื้อเยื่อของปะการัง มักมีสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็ก จำนวนมากอาศัยอยู่ จึงทำให้ ปะการังมีสีเขียวหรือ สีเหลืองทอง สาหร่ายเหล่านี้สังเคราะห์แสงได้แป้งและออกซิเจน เป็นประโยชน์ ต่อการดำรงชีพของปะการัง
แนวปะการังที่พบใน ทะเลไทยเป็น แนวปะการังริมชายฝั่งน้ำตื้น พบอยู่บริเวณชายฝั่ง และรอบเกาะแก่งต่างๆ ทั้งในอ่าวไทย และทะเลอันดามัน หากเป็นช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูง น้ำทะเลจะท่วมแนว ปะการังที่ติดชายฝั่ง ประมาณ 3-4 เมตร โดยจะสังเกต แนวปะการังได้จากผิวทะเล
ปะการังมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แนวปะการัง เป็นระบบนิเวศน์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดใน ทะเล เพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งเพาะพันธุ์วางไข่ของสัตว์น้ำนานาชนิด เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ที่มนุษย์นำมาบริโภค แนวปะการังช่วยลด ความรุนแรง ของคลื่นที่ซัด เข้าสู่ชายฝั่ง แนวปะการัง มีความสวยงาม เหมาะสำหรับ การท่องเที่ยว ช่วยให้ เกิดรายได้แก่ ท้องถิ่น
แนวปะการังมักถูกบุกรุก ทำลายโดยมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ เช่นการใช้ระเบิด จับปลา การทิ้งสมอเรือใน แนวปะการัง การเก็บหักปะการัง นำไป ประดับตอแต่ง การเหยียบย่ำ การทำเหมือแร่ริมชายฝั่ง ตลอดจนการ ปล่อยน้ำเสีย ลงสู่ชายฝั่งที่มีแนวปะการัง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ เป็นการทำลาย สภาวะแวดล้อมของแนวปะการัง ให้เสื่อมโทรมลง
การศึกษาถึงชนิดและ ประโยชน์ของปะการัง จะช่วยสร้างจิดสำนึก ให้ทุกคน ร่วมมือกันอนุรักษ์ แนวปะการัง เป็นแหล่งทรัพยากร ธรรมชาติ ที่มี คุณค่าและเป็นสมบัติของทุกคนไว้สืบ